วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เที่ยวชลบุรี ตอนที่ 2 (จบ)

อรุณสวัสดิ์รับวันที่สองบนเกาะสีชัง สำหรับเช้าวันนี้มีหลายสถานที่ให้เลือกชมแล้วแต่ความชอบ บางคนเลือกขึ้นไปหามุมถ่ายรูปสวยๆ หรือบางคนเลือกเดินตลาดเช้า ซึบซับบรรยากาศและวิถีชีวิตของชาวเกาะสีชัง ตลาดเช้าที่นี่มีร้านค้ากระจายกันขายของตลอดถนนอัษฏางค์  มีร้านขนมครกสูตรโบราณ หมูปิ้งไม้ใหญ่ หรือโจ๊กหมูสุดอร่อยให้เลือกชิม

เดินเลี้ยวลงท่าเรือเก็บบรรยากาศเรือต๊อกแต๊กเล็กๆ ที่ทยอยกันวิ่งออกสู่ทะเล มีฉากหลังเป็นแสงสีทองของท้องฟ้ายามเช้า ท่ามกลางแว่วเสียงเพลงตามสายดังมาแต่ไกล "สีชัง ชังแต่ชื่อ เกาะนั้นหรือ จะชังใคร" เสียงเพลงที่ดังมาจากวิทยุกระจายเสียงในชุมชนท้องถิ่นแห่งนี้ มันช่างเข้ากับบรรยากาศยามเช้าเสียนี่กระไร.. นี่เองคงทำให้เสน่ห์ของเกาะสีชังไม่เคยจางหายจากใจใครหลายคน

ส่งท้ายก่อนอำลาจากเกาะแห่งนี้ เราไปแวะสักการะขอพรจากศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเกาะสีชัง

ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่  เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำเกาะสีชัง ที่ทั้งคนไทยเชื้อสายจีน รวมทั้งคนจีน คนฮ่องกง ไต้หวัน ให้ความเคารพศรัทธา เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาสักการะขอพรกันเป็นประจำทุกปี บริเวณศาลเจ้าพ่อแห้งเจีย ศาลเจ้าแม่กวนอิม และเทพเจ้าสำคัญอื่นๆ บนยอดเขาเหนือศาลขึ้นไป เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง เป็นจุดชมวิวของเกาะสีชังที่สวยงาม

จุดหมายต่่อไปของการเดินทางท่องเที่ยวเส้นทางนี้ก็คือ โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี  ณ ศรีราชา  คุณๆ ที่กำลังอ่านบล็อกนี้คงสงสัยว่า มาเที่ยวโรงพยาบาลกันทำไม? ที่นี่มีอะไรน่าสนใจให้มาชม เดี๋ยวคำตอบจะอยู่ถัดจากบรรทัดนี้ไปละครับ


โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา เปิดให้บริการนักท่องเที่ยวที่รักสุขภาพด้วยโปรแกรม Health Tourism ภายใต้โครงการท่องเที่ยวตามรอยสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โดยแบ่งเป็น 3 กิจกรรมที่น่าสนใจดังนี้ครับ

๑. เพื่อศึกษาพระราชประวัติ  และพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และประวัติความเป็นมาของโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา

๒. กิจกรรมด้านสุขภาพ อาทิ ต้อนรับด้วยน้ำสมุนไพร การบริการทางการแพทย์ โปรแกรมตรวจสุขภาพ นวดเพื่อสุขภาพ (คลีนิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์)

๓. กิจกรรมการให้...เพื่อสุขภาพที่ดีและยั่งยืน  คือ การให้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด อาทิ การบริจาคเลือด การบริจาคดวงตา อวัยวะ ร่างกายเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาแก่นิสิตแพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย การเยี่ยมหาผู้ป่วยสามัญ และการบริจาคทุนทรัพย์ค่ายาผู้ป่วยด้วยโอกาส


ประวัติพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

ตึกพระพันวัสสา เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์สร้างขึ้นในพ.ศ. 2474 ด้วยทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ได้ทรงพระกรุณาโปรดเก้า พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2475 และทรงโปรดเก้าให้สมเด็จบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสรรค์ วรพินิจ องค์อุปนายก ผู้อำนวยการสภากาชาดสยาม เสด็จเป็นองค์ประธาน เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2475

ต่อมาในปี 2495 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทรัพย์ให้ต่อเติมอาคาร "ตึกพระพันวัสสา " ขยายออกไปเป็นเรือนยาวทั้งสองข้าง และได้มีการปรับเปลี่ยนประโยชน์ใช้สอยอาคารตามความเหมาะสมเรื่อยมา


ค่ำคืนของการพักผ่อน ทางโรงพยาบาลได้เปิดบริการเรือนพักตากอากาศชายทะเล (กลุ่มเรือนน้ำ) ประกอบด้วยเรือนริม เรือนเล็กกลาง เรือนสายปราโมทย์ เรือนเจริญ ด้วยภูมิสถาปัตยกรรมที่งดงาม ท่ามกลางบรรยายกาศที่สงบงาม จนหลายคนเอ่ยปากกต้องกลับมาเยือนอีกครั้งแน่นอน


การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางบูรพาวิถี เข้าถนนบายพาสเลี่ยงเมืองชลบุรี วิ่งตรงไปทางพัทยาจนเจอป้ายไปศรีราชา จากนั้นใช้เส้นทางคู่ขนานซ้ายมือ กลับรถขึ้นสะพานข้ามไปทางศรีราชา ผ่านโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา เจอแยกไฟแดง เลี้ยวซ้ายไปทางพัทยา โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา จะอยู่ทางขวามือ ถ้าในรถมีระบบนำทางด้วยดาวเทียม ก็ระบุพิกัดนี้เข้าไปเลย รับรองถึงแน่นอน  พิกัด GPS โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา : 13.161598, 100.919217


อัตราค่าที่พัก
กลุ่มอาคารเรือนน้ำ 3,500 - 5,000 บาท (ราคานี้สำหรับกรุ๊ปทัวร์จำนวน 50 ท่าน)

อาหารการกิน
น้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพ พร้อมจัดอาหารเช้า กลางวัน เย็น ทั้งสดและอร่อย

อาหารมื้อเช้า : ก็จะมีข้าวต้มปลาอินทรีย์และกุ้ง ปาท่องโก๋ ขนมชั้น น้ำเต้าหู้ ฯลฯ สนนราคาหัวละ 100 บาท

อาหารมื้อกลางวัน : ข้าวผัดปู ปลาทูหวานต้มเค็ม ฯลฯ สนนราคาหัวละ 150 บาท

อาหารมื้อเย็น :  ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยทะเล ทะเลลวกจิ้ม และผลไม้ตามฤดูกาล ฯลฯ สนนราคาหัวละ 250 บาท  รายการอาหารสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมสำหรับนักท่องเที่ยว

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายบริหารงานทั่วไปโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา โทรศัพท์ (038) 320 210 และ (038) 320 200 ต่อ 1313


ปิดท้ายด้วยการแวะเที่ยวสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่งคือ ตึกมหาราช ตึกมหาราชินี หรือ ตึกขาว ตึกแดง  เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ และสมเด็จเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ได้สร้างอาคารขึ้นที่ตำบลอ่างศิลา เพื่อเป็นสถานที่พักฟื้นผู้ป่วย  เป็นที่พักตากอากาศชายทะลแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชวงศ์ ขุนนาง และชาวต่างประเทศ ในสมัยนั้นนิยมมาพักผ่อนตากอากาศและพักฟื้นจากการเจ็บไข้

แวะช้อปของฝากหนักๆ กันที่ ตลาดอ่างศิลา  แหล่งผลิตครกหินระดับประเทศ และเป็นแหล่งรวมอาหารทะเลสด แห้ง ของตำบลอ่างศิลา เสร็จจากการช้อปปิ้งก็ได้ของฝากกลับมามากมาย ส่วนใหญ่พวกเราจะซื้อของแห้งซะมากกว่า เพราะมันหิ้วง่ายสบายมือกว่าเยอะ

" ทริปนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านและให้กำลังใจมาโดยตลอด ขอบคุณผู้ให้การ  สนับสนุนข้อมูลและ การเดินทางโดย Flydrivethai.com และ สนง.การท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดชลบุรี รวมทั้งภาพประกอบสวยๆ ด้วยครับ  สวัสดีครับ"

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เที่ยวชลบุรี ตอนที่ 1

เสน่ห์เมืองชลบุรี


ชลบุรี หรือ เรียกสั้นๆ ว่า "เมืองชล" เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับไหล ด้วยความหลากหลายในด้านการท่องเที่ยว เป็นเมืองชายทะเลภาคตะวันออกที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ นอกจากจะเป็นเมืองเศรษฐกิจและอุตสาหรกรรมที่สร้างเม็ดเงินจำนวนมหาศาลให้กับประเทศในแต่ละปีแล้วนั้น ศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดชลบุรีจัดอยู่ในระดับต้นๆ ของประเทศ

ชลบุรีมีชายหาดพัทยาเป็นไฮไลท์สำคัญที่โด่งดังระดับโลก สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ มีบางแสนเมืองชายทะเลที่สุดแสนจะคลาสสิก มนต์เสน่ห์ที่ไม่เคยจางหายตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน

นอกจากจะเป็นเมืองตากอากาศชายทะเลแล้ว ชลบุรียังมีชื่อเสียงในเรื่องของกิน และของฝากมากมาย  ข้าวหลามหนองมน ที่น้อยคนนักจะไม่รู้จักถึงความหอมอร่อย ครกหินอ่างศิลา งานหัตกรรมฝีมือช่างทำหินอ่างศิลาที่มีชื่อเสียงด้านความคงทนมาช้านาน หรือเครื่องจักรสานของคนพนัสนิคมที่ขึ้นชื่อในเรื่องความปราณีตสวยงามที่สุด

สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวชลบุรีในทริปนี้ มีไฮไลท์ที่หลายคนยังไม่รู้จัก สีสันการท่องเที่ยวชุมชนคือ การที่เราได้ไปสัมผัสและเรียนรู้ถึงวิถีของแต่ละชุมชน ด้วยอัธยาศัยไมตรีและรอยยิ้มของผู้คนคือเสน่ห์มัดใจ ให้คนต่างถิ่นอย่างเราๆ ท่านๆ ต้องกลับมาเยือนครั้งแล้วครั้งเล่า


ชุมชนจักสานพนัสนิคม
อำเภอพนัสนิคมมีคำขวัญประจำเมืองพนัสนิคมว่า "พระพนัสบดีคู่บ้าน จักสานคู่เมือง ลือเลื่องบุญกลางบ้าน"  จุดหมายแรกของการเดินทางท่องเที่ยวชุมชนในเส้นทางนี้ก็คือ ชุมชนจักสานพนัสนิคม อยู่ห่างจากเส้นทางมอเตอร์เวย์ประมา 20 กม. ที่นี่เป็นแแหล่งรวมสุดยอดงานฝีมือด้านการจักสานไม้ไผ่ ที่อยากแนะนำให้แวะชมก็คือ "กลุ่มจักสารชุมชนย่อยที่ 1"  ที่นี่มีการสาธิตการทำเครื่องมือ เครื่องใช้ด้วยการจักสานไม้ไผ่จากภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้จากรุ่นสู่รุ่น

ภายในบริเวณกลุ่มจักสานยังเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องจักสาน ละลานตาไปด้วยเครื่องจักสานที่ใหญ่ที่สุดในโลก เช่น ก่องข้าวน้อย ภาชนะใส่ข้าวเหนียว ซึ่งก่องข้าวน้อยที่นี่ ไม่ได้น้อยแค่ชื่อ แต่เป็นก่องข้าวน้อยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ นอกจากนั้นชุมชนที่นี่ยังเป็นที่เก็บรวบรวมเครื่องจักสานโบราณหลากหลายชนิดให้ศึกษาเรียนรู้



จากชุมชนจักสานสู่เกาะสีชัง
ที่ท่าเทียบเรือเกาะลอย จุดหมายปลายทางของพสกเราคือ เกาะสีชัง จากท่าเทียบเรือเกาะลอยถึงเกาะสีชัง ใช้เวลาเดินทางราวๆ  45 นาทีก็จะถึงท่าเรือเทววงศ์ ณ ดินแดนแห่งความสงบ  ณ เกาะสีชัง แม้บรรยายกาศจะดูคึกคักมากกว่าวันวานในอดีต ณ วันนี้ร้านรวงต่างๆ รวมถึงร้านสะดวกซื้อต่างก็ผุดขึ้นมาราวดอกเห็ด แต่กลิ่นอายของเมืองตากอากาศที่แสนจะโรแมนติกยังคงไม่จางหายไปไหน ด้วยเกาะสีชังที่มีขนาดเล็ก มีพื้นที่ทั่วเกาะเพียง 18 ตารางกิโลเมตร ถนนหนทางบนเกาะเป็นถนนที่ไม่กว้างมากนัก ดังนั้นพาหนะยอดนิยมจึงเป็นรถมอไซค์ซะส่วนใหญ่ รวมถึงรถมอไซค์พ่วงขนาดเล็กที่เรียกกันว่า "รถสกายแลป" 

รถสกายแลป เกาะสีชัง
รถสกายแลป ทางภาคอีสาน
ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ประจำเกาะสีชังที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการไปตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ บนเกาะได้ในราคาย่อมเยา ซึ่งเจ้ารถสกายแลปที่ว่านี้ ไม่เหมือนรถสกายแลปที่อยู่ทางภาคอีสาน ลักษณะรถสกายแลปบนเกาะสีชังจะเน้นในเรื่องการนั่งของผู้โดยสารมากกว่า ซึ่งดูเผินๆ ก็คล้ายๆ รถตุ๊กตุ๊กที่วิ่งอยู่ในกทม. แต่ถ้าพูดถึงในเรื่องของการบรรทุกสัมภาระไปพร้อมๆ กับนั่งไปด้วยละก็ ผมว่ารถสกายแลปทางอีสานดูจะได้เปรียบกว่านะ
อ่ะ..มาว่ากันต่อ สถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะสีชังที่สำคัญจุดแรก คือ พระจุฑาธุชราชฐาน สร้างขึ้นในสมัย ร.5 เพื่อใช้เป็นที่ประทับในฤดูร้อน บรรยากาศเต็มไปด้วยดอกลีลาวดีที่แข่งกันอวกโฉมความสวยงามพร้อมกับส่งกลิ่นหอมอบอวลชวนให้หลงไหลไปทั่วบริเวณ  เรือนไม้สีเขียวหลังงาม สันนิฐานว่า น่าจะเป็นเรือนพักตากอากาศของชาวต่างประเทศมาก่อน  ต่อมาได้มีการปรับปรุงเป็นที่ประทับแรมของพระราชวงศ์ในคราวเสด็จมากรักษาพระองค์ ปัจจุบันใช้เป็นสำนักงาน ส่วนบริการนักท่องเที่ยว และจัดแสดงนิทรรศการที่น่าสนใจบนเกาะสีชัง


สะพานอัษฎางค์

บริเวณวณริมฝั่งทะเลมีสะพานไม้สีขาวทอดยาวออกไปในทะเล รู้จักกันในชื่อสะพานอัษฎางค์ เป็นสถานที่ถ่ายรูปอีกจุดหนึ่งที่สวยที่สุด ในเขตพระราชฐานเลยทีเดียว  หลังดื่มด่ำไปกับความงามของพระราชฐานแล้ว ช่วงเย็นในบรรยากาศแดดร่มลมตก สามารถแวะชมวิวทะเลสวยๆ ได้ที่ หาดถ้ำเขาพัง  เป็นอ่าวรูปโค้งวงพระจันทร์ที่มีหาดทรายขาวสะอาดตา เดินเล่นสบายๆ ชิวชิว ริมหาดสวยใกล้ๆ ก็ยังมีร้านอาหาร ร้านขายของฝากที่ระลึกให้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย

อีกจุดหนึ่งก็คือ ช่องอัษฎางค์ หรือช่องเขาชาด เป็นจุดชมวิวทะเลได้กว้างไกลสุดสายตา และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงามสุดๆ มีสะพานทอดยาวตามแนวผาชันริมทะเล


สำหรับค่ำนี้ที่พักที่ดีที่สุดของเราก็คือโฮมสเตย์บนเกาะสีชัง เป็นโฮมสเตย์เล็กๆ ที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจของคนในชุมชนเอง เปิดให้บริการนักท่องเที่ยวจำนวน 4 หลัง สามารถรองรับคนเข้าพักได้ประมาณ 40 คน (แนะนำควรจองล่วงหน้า) แต่ละหลังมีบรรยากาศที่แตกต่างกัน สามารถเลือกพักได้ตามใจชอบ ขอแนะนำสำหรับการพักค้างบนเกาะสีชัง เนื่องจากบนเกาะไม่มีแหล่งน้ำดิบสำหรับการอุปโภค บริโภค ทำให้ต้องซ์้อน้ำจากบนฝั่งมาใช้ ดังนั้นก็ต้องช่วยๆ กันประหยัดน้ำกันนะครับ


อัตราที่พัก 250 บาท : คน : คืน (ไม่รวมค่าอาการ ค่ารถสกายแลป) ถ้ามา 5 คนขึ้นไปคิด 200 บาทต่อคนต่อคืน  หรือถ้าจะรวมค่าอาหารด้วยก็ 800 บาทต่อคนต่อคืน  ส่วนค่ารถนำเที่ยวสกายแลปในหนึ่งวัน เขาคิดเหมาวันละ 250 บาทครับ

อาหารการกิน เน้นเลยว่าจะต้องเป็นอาหารทะเลสดๆ ตามฤดูกาล เช่น หมึกกระตอยต้มน้ำดำ , หอยฟันกระต่ายทอดกระเทียม , หอยกระปุกผัดน้ำพริกเผา เป็นต้น

การเดินทาง  จากกทม. ใช้เส้นทางบูรพาวิถี เข้าถนนบายพาสเลี่ยงเมืองชลบุรี วิ่งตรงไปทางพัทยาจนเจอป้ายศรีราชา ผ่านโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชาจะเจอแยกไฟแดง ให้เลี้ยวซ้ายวิ่งตรงไปประมาณ 2 กม. ถึงเกาะลอย  จากศรีราชาไปเกาะสีชัง มีเรือโดยสารออกจากท่าเรือเกาะลอยทุกวัน ตั้งแต่ 6 โมงเช้าไปจนถึง 2 ทุ่ม  เรือออกทุกชั่วโมง  ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  บริษัท เดอะดีพาร์ทเจอร์ จำกัด หรือที่เว็บไซต์ www.flydrivethai.com


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านบล็อกขับรถเที่ยวไทย ไปทุกภาคครับ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก internet

วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เตรียมความพร้อมก่อนขับรถเที่ยวด้วยตัวเอง



ณ วันนี้ การเดินทางแบบ บินไปบินกลับขับรถเที่ยว ( Fly & Drive) เป็นรูปแบบการท่องเที่ยวอีกรูปแบบที่กำลังได้รับความนิยม เพราะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวตามภูมิภาคต่างๆของไทยได้มาก จึงทำให้มีเวลาเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวนั้นๆมากขึ้น แต่ก่อนออกเดินทาง flydrivethai.com  มีคำแนะนำให้สำหรับมือใหม่ดังนี้ครับ …

  • ค้นหาข้อมูลสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในแต่ละเส้นทางจากหลายๆ แหล่ง เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ หรือเว็บไซต์ เพื่อประเมินระยะทางและศึกษาเส้นทางที่จะไปยังจุดหมายปลายทาง
  • จัดหาแผนที่หรือระบุพิกัดนำทางสำหรับรถยนต์ที่ติดตั้งระบบนำทางด้วยดาวเทียม (GPS) กรณีที่ใช้แผ่นพับแผนที่นำทางแนะนำว่า ควรใช้แผนที่ทางหลวง ในประเทศไทยที่จัดจัดพิมพ์โดยสมาคมทางหลวงแห่งประเทศไทย ฉบับปรับปรุงล่าสุด ซึ่งจะหาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป


    thaimap 2557
  • ติดต่อจองที่พักล่วงหน้าสำหรับที่พักที่สามารถติดต่อได้ หรือหากเป็นแพ็คเกจพร้อมเดินทางอย่างเช่น แพ็คเกจ บินไปบินกลับ ขับรถเที่ยวทั่วไทยของบริษัท เดอะดีพาร์ทเจอร์ ก็สามารถติดต่อเพื่อจองแพ็คเกจขับรถท่องเที่ยวภายในประเทศก็จะทำให้ได้รับความสะดวกสบายกว่า การติดต่อหาแหล่งที่พักและรถเช่าด้วยตัวเอง
  • เตรียมสัมภาระ อาหาร อุปกรณ์แคมป์ปิ้ง และสิ่งที่จำเป็นในเส้นทางไปให้พร้อม และควรจัดระเบียบสัมภาระให้กระชับ เป็นระเบียบ สิ่งไหนที่จำเป็นต้องใช้ก่อน หรือต้องใช้บ่อย ให้จัดวางไว้ในที่ซึ่งหยิบฉวยง่าย
  • เตรียมอุปกรณ์เสริมสำหรับเส้นทางพิเศษบางเส้นทาง เช่น จอบ เสียม ในเส้นทางที่รถอาจติดหล่ม สลิงสำหรับลากจูงให้พร้อม เมื่อคาดว่าท่านจะต้องพบกับสภาพเส้นทางทุรกันดาร แต่หากเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่สะดวกสบาย อุปกรณ์เสริมเหล่านี้ก็ไม่มีความจำเป็น
  • เตรียมอุปกรณ์ไฟฉายสำรองฉุกเฉิน หรือสัญญาณไฟฉุกเฉินติดรถไปด้วยเมื่อต้องขับรถเดินทางไกล
  • ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวก็คือ การเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อม พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อการเดินทางอันยาวไกล และไม่กินยาที่ทำให้ง่วง เช่น ยาแก้แพ้ (ซูลิดีน) ก่อนขับรถเป็นต้น
  • ตรวจเช็คสภาพรถยนต์ให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง เช่น ระบบหล่อเย็น ระบบทำความเย็น ระบบกันสะเทือน เครื่องยนต์ ระบบเบรก ยางและยางอะไหล่ ระบบไฟ น้ำมันเครื่อง และน้ำในที่ปัดน้ำฝน ซึ่งผู้ขับขี่สามารถร้องขอให้ผู้บริการจัดแพ็คเกจขับรถท่องเที่ยวด้วยตัวเอง ดำเนินการให้เรียบร้อยก่อนส่งมอบรถ


    checkingcar
  • ตรวจเช็คสภาพลมยางก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ก่อนวิ่งระยะทางไกลๆ ให้เติมเยอะกว่าปกติไปสัก 1-2 ปอนด์ (ถ้าปกติเติม 30 ก็อาจจะเติม สัก 32 ) รวมถึงยางอะไหล่ด้วย
  • น้ำดื่ม ควรมีติดตัวไปด้วยอย่างน้อยก็สัก 1-2 ลิตร เผื่อทั้งคน เผื่อทั้งรถ อาจรวมไปถึงอาหารรองท้อง อาหารทานเล่นในระหว่างเดินทาง เพื่อแก้หิวในระหว่างขับรถ
  • แว่นกันแดด สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีติดตัวเวลาขับรถท่องเที่ยวด้วยเสมอๆ หากขับรถแล้วเจอแสงแดดจ้า โดยธรรมชาติเราจะหรี่ตา หรือเอามือขึ้นมาป้อง ซึ่งไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น ควรสวมแว่นกันแดดจะดีกว่า เป็นการถนอมสายตากว่าอีกด้วย
  • ผ้าเย็น ของเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ควรมองข้ามในระหว่างการเดินทางขับรถท่องเที่ยวด้วยตัวเอง หากมีติดรถไว้สักผืน สองผืนสำหรับเช็ดหน้า เช็ดมือ นอกจากจะทำให้สดชื่นในระหว่างเดินทางแล้ว และยังช่วยลดแบคทีเรียได้ด้วยครับ
  • คู่มือติดตรถ เอกสารประจำรถ และเอกสารประกอบการขับขี่ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นก่อนออกเดินทาง ควรตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ ว่าเอกสารยังไม่หมดอายุ และควรบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน พร้อมทั้งหมายเลขของระบบประกันภัยไว้ด้วยก็จะเป็นการดีอย่างยิ่ง หากเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้นมา


    driveLong
  •  การขับรถควรขับด้วยความเร็วที่จำกัด ไม่เร็วเกินที่กฎหายกำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับรถในหน้าฝน หากถนนเปียกควรลดความเร็วลง 2 ใน 3 ของการขับบนถนนแห้ง เพื่อยางเกาะถนนได้ดีขึ้น  ไม่ควรขับจี้คันหน้า และอย่าขับตามรถใหญ่มากเกินไป เพราะถนนบางช่วงจะมีเศษหินกระเด็นมาโดนกระโปรงรถ หรือกระจกหน้าแตกเสียหาย หรือเป็นรอยได้ และควรหลีกเลี่ยงการแซง ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่ควรใจร้อน หรือขับด้วยความประมาทเลินเล่อ ควรมีสติตลอดเวลาขณะขับรถ ที่สำคัญ “เมาไม่ขับ” เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้น จะเสียทั้งเวลา เสียเงิน แล้วอาจเสียใจไปตลอดชีวิตอีกด้วย ไม่คุ้มกันเลยนะครับ
  •  เตรียมอุปกรณ์สื่อสารให้พร้อมเสมอตลอดการเดินทาง ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้คนทั่วไป ควรชาร์จแบตฯให้เต็มๆ หรือเตรียมสายชาร์จในรถติดตัวไปด้วย และที่สำคัญไม่ควรโทรศัพท์ในระหว่างขับรถ หากจำเป็นควรใช้หูฟังสมอลทอร์ค หรือหูฟัง Bluetooth จะปลอดภัยกว่า

    ที่มา : www.flydrivethai.com

วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เที่ยวทะเลบัวแดง จ.อุดรธานี

เที่ยวทะเลบัวแดง อ.กุมภาปี จ.อุดรธานี

ทะเลบัวแดง ตั้งอยู่ในเขต อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี อยู่ในบึงน้ำจืด ชื่อ "บึงหนองหาน" พูดถึงบึงหนองหาน ซึ่งเป็นแหล่งของทะเลบัวแดง คุณๆ ที่คิดกำลังจะไปเที่ยวอย่าเพิ่งสับสนกับ อำเภอหนองหาน จ.อุดรธานี นะครับ ไม่งั้นไปไม่ถึงแน่นอนเพราะมันอยู่กันคนละที่เลย


บึงหนองหาน หรือเรียกในอีกชื่อนึงว่า ทะเลบัวแดงมีพื้นที่ประมาณ 22,500 ไร่ เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ โดยบึงหนองหานถือเป็นบึงน้ำจืดที่มีความหลากหลายทางด้านชีวภาพ ภายในบึงประกอบไปด้วยพืชน้ำ พันธุ์นก และพันธุ์ปลา หลากหลายชนิด ซึ่งพันธุ์ไม้น้ำที่โดดเด่นของบึงหนองหานก็คือ “บัวสาย” หรือ “บัวแดง” ที่เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนที่นี่กันทุกปี



การเดินทาง
จากอุดรธานี ใช้เส้นทางหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) จากอุดรธานีมุ่งหน้าสู่ กทม หรือ มุ่งหน้าอำเภอกุมภวาปี ถึงกิโลเมตรที่ 5 สังเกตุปั๊มน้ำมันคอสโม จะถึงทางแยกเข้าทะเลบัวแดง มีป้ายบอกแหล่งท่องเที่ยวทะเลบัวแดงชัดเจน เลี้ยวซ้ายไปตามเส้นทางห้วยสามพาด-อำเภอประจักษ์ศิลปาคม ตรงไปตามถนน มีป้ายบอกให้เลี้ยวซ้ายขวา 2-3 แห่ง จนเลี้ยวขวาเข้าสู่บ้านเดียม ที่ตั้งของท่าเรือท่องเที่ยวทะเลบัวแดง นักท่องเที่ยวสามารถนำรถไปจอดไว้ที่ลานจอดรถบ้านวัดบ้านเดียม ตรงท่าเรือได้จ้า

การเดินทางมาชมทะเลบัวแดง ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการมาชมก็คือราวๆ เดือน ธันวาคม - กุมภาพันธ์ เพราะจะบานจนถึงแค่ปลายเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น และควรตื่นแต่เช้าหน่อยเพื่อที่จะได้ชื่นชมความงดงามของบัวแดง บานเต็มท้องน้ำ ไม่งั้นพอสายๆ บัวก็จะหุบดูไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่


การล่องเรือเพื่อชมความงดงามของทะเลบัวแดง ต้องอาศัยการเช่าเหมาเรือซึ่งค่าใช้จ่ายสำหรับเรือเล็ก ตกประมาณละละ 300 บาทต่อ 1 ชั่วโมงซึ่งเรือเล็กจะสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 4 คนเท่านั้น  แต่ถ้าหากมากันเยอะแนะนำให้เช่าเรือที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย ก็ตกประมาณลำละ 500 ต่อ 2 ชั่วโมง แต่ถ้ามาเที่ยวในวันเสาร์-อาทิตย์ คงจะหาเรือใหญ่ลำบากพอสมควร อาจเป็นเพราะชาวบ้านเขาอยากจะหยุดพักผ่อนก็เป็นได้


สำหรับการมาพักค้างคืนเพื่อเตรียมตัวรอชมความงามของบัวแดง ก็จะมีบริการบ้านพักโฮมสเตย์ ซึ่งอยู่แถวๆ บ้านเดียม ลักษณะของโฮมสเตย์จะเป็นบ้านของชาวบ้านละแวกนั้นที่รวมตัวตั้งเป็นโฮมสเตย์ ค่าใช้จ่ายตกคนละ 200 บาทรวมอาหารเย็น 1 มื้อ


ถ้าใครที่คิดอยากจะมาชื่นชมความงามของทะเลบัวแดงละก็ แนะนำว่าควรมาในช่วงปลายปี เพราะที่นี่เขาจะจัดงานเทศกาลดอกบัวแดง หนองหานกุมภวาปี ณ วัดบ้านเดียม ตำบลเชียงแหว อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานีเป็นประจำทุกๆ ปี ส่วนจะจัดในช่วงวันไหนบ้างนั้น ลองโทรสอบถามที่สนง.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สาขา อุดรธานี เบอร์โทรศัพท์  (042)325 496 และ (042) 326 436 แล้วกันนะจ้า

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลท่องเที่ยวจาก www.flydrivethai.com  ที่แนะนำข้อมูลดีๆ มาบอกกล่าวกันนะจร้า... ขอบคุณทีติดตามจ้า

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สักการะวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว จ.เพชรบูรณ์


ขับรถเที่ยว จ.เพชรบูรณ์ สักการะวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า "วัดผาซ่อนแก้ว" หรือ "วัดผาแก้ว" ตั้งอยู่ริเวณเนินเขาในหมู่บ้านทางแดง ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ระยะทางจากกรุงเทพ ถึงวัดรวมระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่ง สถานที่อันเป็นธรรมภูมิที่งดงาม ซึ่งเรียกว่าผาซ่อนแก้วนี้ มีธรรมชาติเป็นภูเขาที่สูงใหญ่ ซ้อนกันเป็นทิวเขาเรียงรายโอบรอบบริเวณศาลาปฏิบัติธรรม และบนยอดเขาสูงตระหง่านนั้น มีถ้ำอยู่บนปลายยอดเขา


การเดินทางมาที่วัดพระธาตุผาแก้ว (ขออนุญาตเรียกตามความนิยมของคนละแวกนั้น) ถ้าขับรถมาจากกรุงเทพฯ ให้ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 21 สระบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ เมื่อผ่านตัวเมืองจังหวัดเพชรบูรณ์มาสักระยะ จนใกล้หลักกิโลเมตรที่ 260 ให้สังเกตอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมืองทางซ้ายมือ และเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 หล่มสัก พิษณุโลก ขับต่อไปยังทางหลวงหมายเลข 12 ประมาณ 30 นาที หลักกิโลเมตรที่ 103 มีจุดสังเกตคือ อบต.แคมป์สนอยู่ทางขวามือ และธนาคารกสิกรไทย เยื้องขึ้นไปทางซ้ายมือ ตรงไปกลับรถ และจะเห็นป้าย พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว อยู่ปากซอยทางเข้า หมู่บ้านทางแดง ซึ่งอยู่ด้านข้าง อบต.แคมป์สน เลี้ยวซ้ายเข้าไป ตรงตลอดจนเห็นสะพานทางเข้าวัด เลี้ยวขวาข้ามสะพานและจอดรถ ณ บริเวณที่จัดไว้ ซึ่งปากทางเข้าเป็นถนนเลนเดียว ค่อนข้างชัน รถใหญ่อย่างรถทัวร์ไม่สามารถเข้าไปได้แน่นอน ต้องใช้รถเล็กๆ หรือรถกะบะจะดีที่สุดครับ (คลิกชมวิดิโอทางเข้าวัดได้ที่นี่)


วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2547 ในนาม “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัด ในมงคลนามว่า “วัดพระธาตุผาแก้ว” เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2553  จากคณะกรรมการมหาเถรสมาคม โดยมีพระครูปลัด ปารมี สุรยุทโธ เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” เมื่อวันที่ 30  พฤษภาคม 2556 เพื่อให้สอดคล้องกับบริเวณที่ตั้ง ซึ่งแต่เดิมชาวบ้านเรียกกันว่า “ผาซ่อนแก้ว”


ระเบียบการเข้าเยี่ยมสักการะวัดผาแก้ว
  1. ควรแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อสถานที่
  2. ควรถ่ายรูปในกิริยาที่เหมาะสม เช่น ไม่ควรกอดจูบหรือแสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าว เป็นต้น
  3. ควรรักษาความสงบ ไม่ส่งเสียงดัง หรือแสดงพฤติกรรมที่อาจเป็นการรบกวนผู้อื่นได้ เช่น การคุยโทรศัพท์ การวิ่งเล่น
  4. สาธุชนทั่วไปควรเดินชมในพื้นที่ที่กำหนดไว้เท่านั้น ไม่ควรเดินเข้าไปในพื้นที่ของผู้ปฏิบัติธรรม เช่น กุฏิพัก เขตสงฆ์
  5. ช่วยกันรักษาความสะอาด เช่น ทิ้งขยะในบริเวณที่กำหนด รักษาความสะอาดในห้องน้ำ
  6. ไม่ควรนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาในวัด หรือนำสัตว์เลี้ยงมาปล่อยในพื้นที่บริเวณในวัด
  7. ไม่ควรสูบบุหรี่ในพื้นที่บริเวณในวัด


หลังจากเดินทางเข้ามาถึงบริเวณหน้าวัดผาแก้วแล้วจะต้องหาลานจอดรถ ซึ่งยังมีไม่มากนักหากเทียบกับจำนวนประชาชนที่เดินทางมาเยี่ยมชมพระธาตุในแต่ละวัน จนมีการเปิดลานจอดรถของเอกชนซึ่งต้องเสียค่าจอดคันละ 20 บาท ตรงทางเข้าวัด หลังจากนั้นก็เดินตามเส้นทางมาที่ประตูวัด ที่ประตูจะเปิดช่องประตูบานเล็กให้เข้าได้ ก่อนที่จะเข้า จนกระทั่งเดินเข้าไปแล้วจะเห็นป้ายเตือนสติให้เคารพสถานที่และรักษาความสงบของสถานปฏิบัติธรรมอยู่เป็นระยะๆ

ผ่านประตูเข้ามาได้แล้วก็เดินตามทางเดินมาทางขวามือ (มีประตูมีซุ้มและมีร่มให้ยืมใช้ด้วยครับ ระหว่างทางเดินขึ้นบันไดแดดแรงมาก) จากนั้นก็จะถึงบันไดทางขึ้น ปัจจุบันต้องถอดรองเท้าตั้งแต่บันไดขั้นแรก บันไดแต่ละขั้นจึงทำให้รู้สึกร้อนได้ไม่น้อย จึงแนะนำให้มาเช้าหรือ เย็น จะดีกว่าครับ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นกลางวันอย่างที่เราไปกัน ความร้อนที่พื้นก็ไม่ได้มากเสียจนเดินไม่ได้ เมื่อขึ้นบันไดมาระยะหนึ่งแล้วจะเห็นพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่บนฐานสูง รอบฐานมีอ่างเล็กๆ ปลูกบัว ฐานพระพุทธรูปลวดลายสวยงามมากทั้ง 4 ด้าน และยังมีงาช้างประดับทั้ง 4 มุม เบื้องหน้าองค์พระพุทธรูปเป็นทิวทัศน์วิวสวยๆ ของบริเวณผาซ่อนแก้ว

ด้านทิศเหนือของพระธาตุผาแก้วมีซุ้มสูงใหญ่สูงถึงชั้นที่ 4 ขององค์เจดีย์ สุดลานประทักษินทิศเหนือก็มีซุ้มขนาดเล็ก สร้างเป็นแบบเดียวกันกับซุ้มอื่นๆ ที่อยู่รอบองค์เจดีย์ ประดับเสาตกแต่งด้วยกระเบื้องและสิ่งของอื่นๆ อีกหลายอย่าง องค์พระเจดีย์มีทางเดินขึ้นชั้น 2 อยู่ 2 ด้าน คือทิศตะวันออกและทิศตะวันตก

เจดีย์พระธาตุผาแก้ว มีรูปทรงวิจิตรงดงามด้วยการออกแบบ และการเอาใจใส่ในรายละเอียดทุกกระเบียดนิ้ว รูปร่างขององค์เจดีย์ สร้างเลียนแบบดอกบัวที่ซ้อนกัน 7 ชั้น เพื่อถวายแด่องค์พระพุทธเจ้า สีสันที่สดใสของเจดีย์ เกิดจากการนำกระเบื้องสี ถ้วยชามเบญจรงค์ มุก ลูกปัด แก้ว แหวน เงินทอง สิ่งมีค่าต่างๆ ตลอดจนเซรามิคหลากสีสัน มาประดับประดาตกแต่ง เป็นลวดลายที่สวยงาม

หาก ได้เดินเข้าไปชม ใกล้ๆ ก็จะพบสีสัน และลวดลาย ที่มีรายละเอียดน่าอัศจรรย์ใจ จากวัสดุที่นำมาประกอบกัน จนเป็นเจดีย์องค์ใหญ่ เราสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย จากลวดลายในที่ประกอบกัน อาจเป็นหลักธรรม คำสอน อนิจจัง ความเป็นไปของโลก หรืออะไรก็แล้วแต่ที่แอบแฝงอยู่ในงานศิลปกรรม ประติมากรรม ที่อยู่เบื้องหน้า สุดแท้แต่ว่าจะตีความกันอย่างไร เอกสิทธิ์มุมมองของแต่ละบุคคลเป็นอย่างไร

ถัดจากพระธาตุเจดีย์ ก็สามารถเดินชมบริเวณรอบๆ ทางด้านหลังเขาเงียบสงบ สวยงาม เป็นที่ตั้งของ บ้านพักผู้มาปฏิบัติธรรม และกำลังก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหญ่ นอกจากนี้มี ศาลาปฏิบัติธรรมรูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสโปร่ง มีชานระเบียงยื่นลงไปทางหุบเขาเบื้องล่าง ท่ามกลางทุ่งหญ้า และเนินเขา มองเห็นทัศนียภาพสวยงามกว้างไกล วันฟ้าใสๆ ก็เห็นไปไกลถึงภูทับเบิก แต่ในวันที่ฟ้ามีแต่หมอก แม้ระยะ 1 เมตรข้างหน้า ยังมองได้ไม่ชัดเจน เพราะขาวโพลนไปด้วยหมอก

ส่วนสุดท้ายที่อยากแนะนำให้ชม คือวิว รอบๆ วัดพระธาตุผาแก้ว ซึ่งหากได้มายืนชมเจดีย์ มาชมวัด ก็จะเห็นกับตาตัวเองอยู่แล้วว่า วิว 360 องศา รอบๆ องค์พระเจดีย์ และรอบๆ วัด สวยงามเพียงใด ด้านหน้าเป็นวิวของหมู่บ้านทางแดง ซึ่งมีบ้านชาวบ้านปลูกสร้างไล่เรียงไปตามเส้นทางของหุบเขา เป็นทางยาวไปจนถึงถนนใหญ่ เมื่อเงยหน้าขึ้นสูงหน่อย ก็พบกับเนินเขาลูกเล็ก ลูกน้อย สลับกันไปมา เงยหน้าสูงขึ้นไปอีก ก็พบกับผาซ่อนแก้ว ผาใหญ่ที่สงบเงียบมั่นคง สวยงามสุดๆในฤดูฝน เพราะเมฆหมอกจะมารวมตัวกันอยู่บริเวณนี้เกือบทั้งวัน

ด้านหลังพระเจดีย์ เป็นหุบเขาใหญ่ เขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นหุบเขาบริเวณเดียวกับที่ได้ชมวิวจากร้าน คอฟฟี่ ฮิลล์(ร้านเดิม) รายล้อมไปด้วยยอดเขาสูงใหญ่ กับสีเขียวของป่าไม้ที่มีการรณรงค์ให้อนุรักษ์ เพื่อรักษาต้นน้ำ และเพื่อเป็นแนวป้องกันการเกิดดินถล่มลงไปยังชุมชนเชิงเขา

เนื่องจากที่นี่เป็นเขตวัด และเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมชั้นเยี่ยม การเข้าชมสถานที่จึงต้องปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม และให้เกียรติสถานที่ด้วย โดยหากเป็นสุภาพสตรี ไม่ควรสวมกางเกงขาสั้นเข้าไป และไม่ควรส่งเสียงดัง อึกทึกในระหว่างเข้าชม เนื่องจากอาจมีบางคณะที่กำลังปฏิบัติธรรมอยู่ชั้นบนของพระเจดีย์

ฤดูที่เหมาะที่สุดสำหรับการชม และทำบุญที่วัดพระธาตุผาแก้ว คือฤดูฝน โดยเฉพาะในวันสำคัญทางพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นฤดูที่มีหมอกสวยงามมากที่สุดในบริเวณผาซ่อนแก้ว และทำให้บริเวณวัดเต็มไปด้วยหมอกสีขาว บางวันมีทะเลหมอกสวยงามราวกับอยู่บนสวรรค์ ส่วนในฤดูหนาว จะเป็นฤดูที่อากาศเย็นสบายปลอดโปร่ง แต่จะมีหมอกน้อยกว่าในฤดูฝน

ที่มา : www.khaoko.com/แหล่งท่องเที่ยวบนเขาค้อ/วัดพระธาตุผาแก้ว.html

ขับรถเที่ยว อ.สังคม จ.หนองคาย

ขับรถเที่ยว อ.สังคม จ.หนองคาย แวะชมเกล็ดพญานาคริมโขง
ณ วัดผาตากเสื้อ

ทริปท่องเที่ยวในครั้งนี้ หลังจากที่เราเดินทางออกจากวัดป่าภูก้อน จ.อุดรธานีแล้ว เรามุ่งหน้าตรงไปยัง อำเภอ สังคม ซึ่งเป็นอำเภอแรกๆ สุดที่อยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดหนองคาย จุดหมายของเราคือการไปชมริ้วคลื่นธรรมชาติ ที่พัดพาเอาตะกอนจากแม่น้ำขึ้นมาทับถมรวมๆ กัน บนพื้นดินชายฝั่งริมโขงจนแลดูเผินๆ เหมือนกับเกล็ดมังกร แต่อันที่จริงแล้วควรเรียกเกล็ดพญานาคมากกว่า เพื่อให้สอดคล้องกับความเชื่อของชาวบ้านในถิ่นนี้


เส้นทางการเดินทางมายัง วัดผาตากเสื้อ ซึ่งเป็นจุดชมเกล็ดพญานาคได้สวยงามที่สุด เราขับรถออกจากตัวเมืองอุดรฯ ประมาณ 40 กม.ถึงทางแยกหนองสองห้องเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวง 211 ผ่าน อ.ท่าบ่อ ประมาณ  42 กม.  ผ่านอ.ศรีเชีงใหม่อีกประมาณ 15 กม. ขับรถต่อไปอีกประมาณ เกือบ 30 กม.และก่อนถึง อ.สังคม จะเจอทางแยกซ้ายมือ มีป้ายบอกทางไปวัดผาตากเสื้ออีกประมาณ 8 กม.


วัดผาตากเสื้ออยู่ห่างจากอำเภอสังคมประมาณ 18 กิโลเมตร เป็นเส้นทางที่ต้องขับรถอ้อมขึ้นเขา แต่ทางสะดวกดี รถเล็กขึ้นได้ครับ จากอำเภอสังคม ขับรถเลียบมาตามแม่น้ำโขงทางที่จะไปหนองคาย ประมาณ 11 กิโลเมตร เลี้ยวขวาที่แยกน้ำตกธารทอง ขึ้นไปตามป้าย วัดผาตากเสื้อ เส้นทางช่วงนี้จะเป็นทางขึ้นเขา อีก 7 กิโลเมตร ก็จะถึงวัดผาตากเสื้อ ใครที่อยากจะไปที่สัดผาตากเสื้อแห่งนี้ก็บันทึกตำแหน่งพิกัด GPS ได้เลยครับ [ GPS : 18.036930, 102.305161 ] หรือคลิกเพื่อดูแผนที่จาก google map ได้ที่นี่


วัดผาตากเสื้อตั้งอยู่บนเทือกเขาภูพานน้อย  เขตบ้านปากโสม ม.2 ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หวัดหนองคาย สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 550 เมตร อยู่ห่างจากอำเภอเมืองหนองคายไปประมาณ 87 กม.ซึ่งเป็นจุดชมวิวแม่น้ำโขงที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ว่ากันว่าในช่วงที่น้ำลด หากไปยืนอยู่บนวัดผาตากเสื้อแล้วมองลงมายังแม่น้ำโขง จะเห็นสันทรายเป็นริ้วคล้ายเกล็ดพญานาคอย่างชัดเจน ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างไรก็ตาม ความสวยงามนี้กลับถูกซ่อนไว้ใต้ผืนน้ำ เพื่อรอเวลาอันเหมาะสมที่จะเผยโฉมในยามที่น้ำเริ่มลด ช่วงเวลาเหมาะสมที่จะไปชม เกล็ดพญานาค ควรไปช่วงฤดูหนาวหรือฤดูร้อน (ช่วงน้ำลด) จะเหมาะที่สุดครับ


เมื่อคณะของเรามองดูแนวสันทรายที่ยาวสุดสายตาแล้ว กะว่ามันน่าจะมีความยาวของแนวสันทรายไม่ต่ำกว่าร้อยเมตร จุดที่เหมาะสมที่ดีที่สุดในการชมแนวสันทรายแห่งนี้ แนะนำว่าต้องไปชมบนจุดชมวิวบนวัดผาตากเสื้อ และที่สำคัญที่ต้องนำติดตัวไปด้วยก็คือ กล้องส่องทางไกล หรือกล้องถ่ายรูปที่ติดเลนส์ซูมคุณภาพดีๆ สักตัวเพื่อเก็บภาพแห่งความประทับใจกลับไปอวดชาวออฟฟิศทั้งหลายให้อิจฉาเล่นๆ


จากจุดชมวิวฯ หากมองไปทางซ้ายมือจะมองเห็นวิวแม่น้ำโขงทอดยาวโค้งเป็นคุ้งน้ำ กลางแม่น้ำมีเกาะแก่งขนาดใหญ่ ทำให้แม่น้ำโขงช่วงนี้มีลักษณะคล้ายแยกเป็นรูป Y ที่มองเห็นประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างชัดเจน  หลังจากชื่นชมธรรมชาติกันจนจุใจ มาถึงวัดผาตากเสื้อทั้งทีก็ต้องมาไหว้พระ เราเดินตรงก้าวขึ้นบันไดไปยังโบสถ์ เพื่อไหว้พระขอพร เรียกได้ว่ามาวัดนี้วัดเดียว ได้ชมทั้งธรรมชาติ แถมได้ไหว้พระ อิ่มบุญกันถ้วนหน้าครับ


ไหนๆ ก็มาเตร็ดเตร่เดินทอดน่องชมวิวสันทรายเกล็ดพญานาคกันแล้ว ที่อำเภอสังคมยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องแวะไปมุด เอ้ย..แวะไปเดินชมให้ได้สักครั้งก็คือ “วัดถ้ำดินเพียง” หรือ “วัดถ้ำศรีมงคล” ซึ่งภายในวัดเป็นที่ตั้งของถ้ำดินเพียง ที่เชื่อกันว่าเป็นถ้ำพญานาค เป็นประตูมิติเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และเมืองบาดาล และบ้างก็ว่าเป็นเส้นทางที่พระธุดงด์ทรงศีลแก่กล้าจากลาวใช้ข้ามฝั่งลอดใต้แม่น้ำโขงเข้ามายังเมืองไทย


บริเวณปากทางเข้าถ้ำจะมี “ศาลพ่อปู่อินทร์นาคราช - แม่ย่าเกตุนาคราช” ตั้งอยู่ พวกเราจึงแวะกราบขอพรก่อนที่จะเดินมุดลงไปชมความงามที่อยู่ภายในถ้ำกัน แต่การที่จะเดินลงเข้าไปภายในถ้ำนั้น ไม่ใช่นึกอยากจะเข้าก็เข้าไปเลยนะครับ เราจะต้องมีคนนำทางพาเข้าไปถึงจะเข้าไปได้ครับ


จากปากทางเข้าสู่ภายในถ้ำจะเป็นช่องเล็กๆ ที่คนตัวเล็กๆ จะพอมุดเข้าไปได้อย่างสบายๆ แต่ถ้าเป็นคนตัวใหญ่หน่อยก็ลำบากนิดนึง แต่เมื่อผ่านเข้าไปด้านในแล้ว บางช่วง บางแอ่งจะเป็นน้ำสลับพื้นดินติ้นๆ แฉะๆ มีทั้งซอกหลืบ โพรงเล็ก โพรงน้อย ซึ่งถ้าไม่มีคนคอนนำทางเข้าไปแล้ว อาจจะหลงกันได้ง่ายๆ

คนนำทางก็ชี้ให้เราดูยังห้องต่างๆ ภายในถ้ำ ทั้งห้องโถง ห้องหีบศพปู่อินทร์นาคราช ช้างสามเศียร , บรรลังก์พญานาค , ธิดาพญานาค 3 องค์ ล้วนแล้วตื่นตาตื่นใจที่ได้แวะมาชมและสัมผัสกับบรรยายกาศภายในที่แห่งนี้จริงๆ


กลับออกมาจากถ้ำเพียงดินแล้ว พวกเราก็ต้องแวะไปหาอะไรทานก่อนกลับที่พักซึ่งก็ได้รับคำแนะนำว่าควรไปหาอะไรทานแถวๆ อำเภอสังคม แล้วแวะชมพระอาทิตย์ตกดินกันที่ "หนองปลาบึก" ที่หนองปลาบึกขึ้นชื่อว่า เป็นแหล่งชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามอีกแห่ง ยิ่งถ้าเป็นในช่วที่น้ำลด ก็จะเห็นโขดหิน เกาะแก่งตามธรรมชาติที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมานับไม่ถ้วน จนได้รับสมญานามว่า "3หมื่นแก่ง" พร้อมกับชมวิถีชีวิตของชาวบ้านในละแวกนั้น ซึ่งถ้าจะให้ดีก็ต้องนั่งเรือหางยาว ชมทัศนีย์ภาพรอบๆ หนองปลาบึก ลัดเลาะไปตามซอกเกาะแก่งต่างๆ กันอย่างเพลิดเพลินจนใกล้ช่วงเวลาสำคัญที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ การนั่งชมพระอาทิตย์ตกดิน ที่ค่อยๆ สาดแสงส่องกระทบกับผิวน้ำ มันช่างเป็นภาพบรรยากาศที่โรแมนติกเสียนี่กระไร


พวกเรานั่งเหม่อมองดูพระอาทิตย์สีส้มกลมโต ที่ค่อยๆ ลับเลือนหายไปหลังขุนเขาที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งนั่นก็เป็นสัญญาณว่า พวกเราจำเป็นจำต้องจากสถานที่แห่งนี้ไปซะแล้ว เพื่อมุ่งหน้ากลับที่พัก และเตรียมตัวเดินทางขึ้นเครื่องกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น


เอาไว้โอกาสหน้าฟ้าใหม่ พวกเราคงได้มีโอกาสกลับมาท่องเที่ยวชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่หนองปลาบึกกันใหม่ในคราวหน้า และต้องขอขอบคุณสำหรับโปรแกรมแพ็คเกจท่องเที่ยวแบบอิสระ อย่างแพ็คเกจบินไป บินกลับขับรถเที่ยวทั่วไทยของ บริษัท เดอะดีพาร์ทเจอร์ ที่ได้คณะของเราได้ซื้อแพ็คเกจนี้มาพร้อมๆ กับตั๋วเครื่องบิน ที่พักสบายๆ อาหารอร่อยๆ และรถที่ใช้ขับตะเวนไปทั่วอุดรฯ - หนองคายในคูปองใบเดียวกัน ใช้ได้ทั้งที่พัก ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ และรถเช่าที่แสนจะสะดวกสบายตลอดกรเดินทางในครั้งนี้ครับ  ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ เอาไว้โอกาสหน้าจะแวะไปเที่ยวที่ไหน แล้วจะมาเล่าประสพการณ์ดีๆ ของการขับรถเที่ยวเองแบบสบายๆ ให้อ่านกันในโอกาสต่อไป ขอบคุณและสวัสดีครับ :)

ขับรถเที่ยววัดป่าภูก้อน จ.อุดรธานี

วัดป่าภูก้อน มหัศจรรย์..ป่าห่มแห่งศรัทธา
ขับรถเที่ยววัดป่าภูก้อน จ.อุดรธานี

ประสพการณ์การท่องเที่ยวด้วยตัวเองในคราวนี้ เราเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ด้วยสายการบินนกแอร์มาลงที่สนามบินจังหวัดอุดรธานี จุดหมายของเราตั้งใจจะไปแวะชมป่าห่มศรัทธา ที่อยู่ในอำเภอนายูง จ.อุดรธานี

เมื่อเราลงจากเครื่อง รถเช่าจาก บริษัท เดอะดีพาร์ทเจอร์ ที่เราได้ติดต่อไว้ล่วงหน้าก็มาจอดรอพร้อมที่จะให้เราได้ขับต่อไปยังจุดหมายต่อไป

วัดป่าภูก้อนคือ 1 ในสถานที่ท่องเที่ยวในฝัน 1ใน 10 แห่งที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น Dream Destination ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องไปสัมผัสสักครั้ง  วัดป่าภูก้อนตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่านายูงและป่าน้ำโสม ท้องที่บ้านนาคำ ตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี อันเป็นรอยต่อแผ่นดิน 3 จังหวัด คือ อุดรธานี เลย และหนองคาย ตั้งอยู่บนเนินเขาที่รายล้อมด้วยผืนป่าเขียวขจีกว่าบนพื้นที่กว่า 3,000 ไร่

หากจะเรียกชื่อเต็มๆ ของวัดปาภูก้อนแห่งนี้แล้ว เราคงต้องเรียกชื่อกันยาวสักหน่อย ซึ่งชื่อเต็มของวัดป่าแห่งนี้ก็คือ "พุทธอุทยานมหารุกขปาริชาติภูก้อน"
ประตูทางเข้าวัด จะเปิดให้เข้าชมต้ังแต่เวลา 6 โมงเช้าไปจนถึงเวลา 1 ทุ่มตรง การเดินทางมาที่วัดแห่งนี้สามารถมาได้หลายทาง ถ้าขับรถมาเองจากกรุงทเพฯ จะใช้เส้นทางตามทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ถึงสระบุรี บริเวณกิโลเมตรที่ 107 แล้วเลี้ยวขวาแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ผ่านจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น และอุดรธานี

เมื่อมาถึง จ.อุดรธานี ให้ออกทางหลวงเส้นจังหวัดหนองคาย ไปถึงหลักกิโมลเมตรที่ 13 แยกซ้ายไป อ.บ้านผือ อ.นายูง จนถึง บ.นาคำใหญ่ จะมีทางเลี้ยวเข้าวัดป่าภูก้อน รวมระยะเวลาการเดินทางทั้งสิ้น 657 กิโลเมตร ใช้เวลาโดยประมาณ 10 ชั่วโมง 17 นาทีโดยประมาณ แต่ถ้าชอบความสะดวกสบายก็สามารถติดต่อจองแพ็คเกจ บินไป บินกลับ ขับรถเที่ยวของบริษัท เดอะดีพาร์เจอร์ จะสะดวกกว่า ทั้งในเรื่องที่พัก ตั๋วเครื่องบิน และรถที่ต้องใช้ ทุกอย่างเขาจัดรวมเป็นแพ็คเกจเดียว ค่าใช้จ่ายจะประหยัดกว่าการตระเวนหาหาที่พักและรถเช่าด้วยตัวเอง ตั้งเยอะ สะดวกและง่ายดีครับ

เผลอออกนอกเรื่องไปซะไกล กลับมาเข้าเรื่องเล่ากันต่อดีกว่า เมื่อเข้าถึงหน้าประตูวัดแล้ว สิ่งที่สะกดสายตาของพวกเราคือ พระวิหารที่สวยงามของวัดป่าภูก้อน ถือเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวได้มาก รวมถึงพระพุทธไสยาสน์หินอ่อนขาว ปางปรินิพพาน ซึ่งมีความยาว 20 เมตรนำเข้ามาจากประเทศอิตาลี มีลักษณะเป็นหินอ่อนเป็นก้อนๆ เรียงซ้อนกัน 43 ก้อน น้ำหนักก้อนละประมาณ 15-30 ตัน ใช้เวลาในการก่อสร้างถึง 6 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 - 2555 ซึ่งผู้ออกแบบและแกะสลักองค์พระพุทธรูปนี้ก็คือ อาจารย์นริศ รัตนวิมล ช่างสลักหินอ่อนผู้เป็นสุดยอดของแผ่นดินนั่นเอง

พระพุทธรูปหินขาวปางปรินิพพาน ใหญ่ที่สุดในโลก

พระพุทธไสยาสน์หินอ่อนขาว ปางปรินิพพาน เป็นชื่อที่ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า “พระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี” แปลว่า พระพุทธรูปปางไสยาสน์แห่งพระมหามุนีผู้ทรงเป็นบรมครู ที่ทรงเป็นที่พึ่งของชาวโลก เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

วัดป่าภูก้อน สร้างขึ้นเมื่อปี 2530 โดยคุณปิยวรรณและคุณโอฬาร วีรวรรณ ผู้มีความเลื่อมใสในปฏิปทาของพระป่า และได้ทำเรื่องขอใช้ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาตินายูงน้ำโสม เพื่อสร้างวัดในเนื้อที่ 15 ไร่ จากกรมป่าไม้

นอกจากนี้แล้วภายในวัดยังมี “พระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์” เจดีย์สีเหลืองทองที่ตั้งยอดเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดเขา ซึ่งหากจะขึ้นไปด้านบนเจดีย์ ต้องออกแรงรวบรวมกำลังขากันสักหน่อย เพราะตัวจากเจดีย์ตั้งอยู่บนยอดเขา ต้องเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ เมื่อขึ้นมาถึงด้านหน้าขององค์เจดีย์ จะมีพระร่วงรุ่งโรจน์ศรีบูรพาให้ได้ไหว้ขอพร และที่ด้านในเจดีย์ที่ชั้นบนยอด บรรจุพระบรมสารีริกธาตุให้ได้กราบบูชากัน
พระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์
ที่มาของคำว่า วัดป่าภูก้อน จริงๆ แล้วเป็นชื่อของภูเขาลูกหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ในท้องที่บ้านนาคำ หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี เป็นภูเขาลูกใหญ่ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 827 เมตร สภาพโดยรอบเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ อากาศชื้น มีหมอกปกคลุม เป็นต้นน้ำลำธารซึ่งมีน้ำไหลตลอดทั้งปี ภายในบริเวณวัดเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามมาก มีแมกไม้เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยทั่วป่าอันเขียวขจี ซึ่งมุมมองสวยๆ ที่พบเห็นทั่วๆ ไปนั้นต้องเดินป่าสู่จุดชมวิวบนหุบเขาด้านบน ซึ่งต้องติดต่อคนนำทางก่อน


พิกัด GPS วัดป่าภูก้อน  : 17.916559, 102.122273

ทริปหน้าพวกเราจะไปแวะดูเกล็ดพญานาคริมโขงกัน ส่วนทริปนี้ต้องขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำเส้นทาง ที่พักและแห่งทานอาหารอีสานรสอร่อยๆ จากเว็บไซต์ www.flydrivethai.com ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านบล็อกของพวกเราครับ /