วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เที่ยวชลบุรี ตอนที่ 2 (จบ)

อรุณสวัสดิ์รับวันที่สองบนเกาะสีชัง สำหรับเช้าวันนี้มีหลายสถานที่ให้เลือกชมแล้วแต่ความชอบ บางคนเลือกขึ้นไปหามุมถ่ายรูปสวยๆ หรือบางคนเลือกเดินตลาดเช้า ซึบซับบรรยากาศและวิถีชีวิตของชาวเกาะสีชัง ตลาดเช้าที่นี่มีร้านค้ากระจายกันขายของตลอดถนนอัษฏางค์  มีร้านขนมครกสูตรโบราณ หมูปิ้งไม้ใหญ่ หรือโจ๊กหมูสุดอร่อยให้เลือกชิม

เดินเลี้ยวลงท่าเรือเก็บบรรยากาศเรือต๊อกแต๊กเล็กๆ ที่ทยอยกันวิ่งออกสู่ทะเล มีฉากหลังเป็นแสงสีทองของท้องฟ้ายามเช้า ท่ามกลางแว่วเสียงเพลงตามสายดังมาแต่ไกล "สีชัง ชังแต่ชื่อ เกาะนั้นหรือ จะชังใคร" เสียงเพลงที่ดังมาจากวิทยุกระจายเสียงในชุมชนท้องถิ่นแห่งนี้ มันช่างเข้ากับบรรยากาศยามเช้าเสียนี่กระไร.. นี่เองคงทำให้เสน่ห์ของเกาะสีชังไม่เคยจางหายจากใจใครหลายคน

ส่งท้ายก่อนอำลาจากเกาะแห่งนี้ เราไปแวะสักการะขอพรจากศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเกาะสีชัง

ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่  เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำเกาะสีชัง ที่ทั้งคนไทยเชื้อสายจีน รวมทั้งคนจีน คนฮ่องกง ไต้หวัน ให้ความเคารพศรัทธา เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาสักการะขอพรกันเป็นประจำทุกปี บริเวณศาลเจ้าพ่อแห้งเจีย ศาลเจ้าแม่กวนอิม และเทพเจ้าสำคัญอื่นๆ บนยอดเขาเหนือศาลขึ้นไป เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง เป็นจุดชมวิวของเกาะสีชังที่สวยงาม

จุดหมายต่่อไปของการเดินทางท่องเที่ยวเส้นทางนี้ก็คือ โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี  ณ ศรีราชา  คุณๆ ที่กำลังอ่านบล็อกนี้คงสงสัยว่า มาเที่ยวโรงพยาบาลกันทำไม? ที่นี่มีอะไรน่าสนใจให้มาชม เดี๋ยวคำตอบจะอยู่ถัดจากบรรทัดนี้ไปละครับ


โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา เปิดให้บริการนักท่องเที่ยวที่รักสุขภาพด้วยโปรแกรม Health Tourism ภายใต้โครงการท่องเที่ยวตามรอยสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โดยแบ่งเป็น 3 กิจกรรมที่น่าสนใจดังนี้ครับ

๑. เพื่อศึกษาพระราชประวัติ  และพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และประวัติความเป็นมาของโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา

๒. กิจกรรมด้านสุขภาพ อาทิ ต้อนรับด้วยน้ำสมุนไพร การบริการทางการแพทย์ โปรแกรมตรวจสุขภาพ นวดเพื่อสุขภาพ (คลีนิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์)

๓. กิจกรรมการให้...เพื่อสุขภาพที่ดีและยั่งยืน  คือ การให้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด อาทิ การบริจาคเลือด การบริจาคดวงตา อวัยวะ ร่างกายเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาแก่นิสิตแพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย การเยี่ยมหาผู้ป่วยสามัญ และการบริจาคทุนทรัพย์ค่ายาผู้ป่วยด้วยโอกาส


ประวัติพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

ตึกพระพันวัสสา เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์สร้างขึ้นในพ.ศ. 2474 ด้วยทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ได้ทรงพระกรุณาโปรดเก้า พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2475 และทรงโปรดเก้าให้สมเด็จบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสรรค์ วรพินิจ องค์อุปนายก ผู้อำนวยการสภากาชาดสยาม เสด็จเป็นองค์ประธาน เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2475

ต่อมาในปี 2495 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทรัพย์ให้ต่อเติมอาคาร "ตึกพระพันวัสสา " ขยายออกไปเป็นเรือนยาวทั้งสองข้าง และได้มีการปรับเปลี่ยนประโยชน์ใช้สอยอาคารตามความเหมาะสมเรื่อยมา


ค่ำคืนของการพักผ่อน ทางโรงพยาบาลได้เปิดบริการเรือนพักตากอากาศชายทะเล (กลุ่มเรือนน้ำ) ประกอบด้วยเรือนริม เรือนเล็กกลาง เรือนสายปราโมทย์ เรือนเจริญ ด้วยภูมิสถาปัตยกรรมที่งดงาม ท่ามกลางบรรยายกาศที่สงบงาม จนหลายคนเอ่ยปากกต้องกลับมาเยือนอีกครั้งแน่นอน


การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางบูรพาวิถี เข้าถนนบายพาสเลี่ยงเมืองชลบุรี วิ่งตรงไปทางพัทยาจนเจอป้ายไปศรีราชา จากนั้นใช้เส้นทางคู่ขนานซ้ายมือ กลับรถขึ้นสะพานข้ามไปทางศรีราชา ผ่านโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา เจอแยกไฟแดง เลี้ยวซ้ายไปทางพัทยา โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา จะอยู่ทางขวามือ ถ้าในรถมีระบบนำทางด้วยดาวเทียม ก็ระบุพิกัดนี้เข้าไปเลย รับรองถึงแน่นอน  พิกัด GPS โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา : 13.161598, 100.919217


อัตราค่าที่พัก
กลุ่มอาคารเรือนน้ำ 3,500 - 5,000 บาท (ราคานี้สำหรับกรุ๊ปทัวร์จำนวน 50 ท่าน)

อาหารการกิน
น้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพ พร้อมจัดอาหารเช้า กลางวัน เย็น ทั้งสดและอร่อย

อาหารมื้อเช้า : ก็จะมีข้าวต้มปลาอินทรีย์และกุ้ง ปาท่องโก๋ ขนมชั้น น้ำเต้าหู้ ฯลฯ สนนราคาหัวละ 100 บาท

อาหารมื้อกลางวัน : ข้าวผัดปู ปลาทูหวานต้มเค็ม ฯลฯ สนนราคาหัวละ 150 บาท

อาหารมื้อเย็น :  ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยทะเล ทะเลลวกจิ้ม และผลไม้ตามฤดูกาล ฯลฯ สนนราคาหัวละ 250 บาท  รายการอาหารสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมสำหรับนักท่องเที่ยว

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายบริหารงานทั่วไปโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา โทรศัพท์ (038) 320 210 และ (038) 320 200 ต่อ 1313


ปิดท้ายด้วยการแวะเที่ยวสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่งคือ ตึกมหาราช ตึกมหาราชินี หรือ ตึกขาว ตึกแดง  เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ และสมเด็จเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ได้สร้างอาคารขึ้นที่ตำบลอ่างศิลา เพื่อเป็นสถานที่พักฟื้นผู้ป่วย  เป็นที่พักตากอากาศชายทะลแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชวงศ์ ขุนนาง และชาวต่างประเทศ ในสมัยนั้นนิยมมาพักผ่อนตากอากาศและพักฟื้นจากการเจ็บไข้

แวะช้อปของฝากหนักๆ กันที่ ตลาดอ่างศิลา  แหล่งผลิตครกหินระดับประเทศ และเป็นแหล่งรวมอาหารทะเลสด แห้ง ของตำบลอ่างศิลา เสร็จจากการช้อปปิ้งก็ได้ของฝากกลับมามากมาย ส่วนใหญ่พวกเราจะซื้อของแห้งซะมากกว่า เพราะมันหิ้วง่ายสบายมือกว่าเยอะ

" ทริปนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านและให้กำลังใจมาโดยตลอด ขอบคุณผู้ให้การ  สนับสนุนข้อมูลและ การเดินทางโดย Flydrivethai.com และ สนง.การท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดชลบุรี รวมทั้งภาพประกอบสวยๆ ด้วยครับ  สวัสดีครับ"

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เที่ยวชลบุรี ตอนที่ 1

เสน่ห์เมืองชลบุรี


ชลบุรี หรือ เรียกสั้นๆ ว่า "เมืองชล" เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับไหล ด้วยความหลากหลายในด้านการท่องเที่ยว เป็นเมืองชายทะเลภาคตะวันออกที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ นอกจากจะเป็นเมืองเศรษฐกิจและอุตสาหรกรรมที่สร้างเม็ดเงินจำนวนมหาศาลให้กับประเทศในแต่ละปีแล้วนั้น ศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดชลบุรีจัดอยู่ในระดับต้นๆ ของประเทศ

ชลบุรีมีชายหาดพัทยาเป็นไฮไลท์สำคัญที่โด่งดังระดับโลก สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ มีบางแสนเมืองชายทะเลที่สุดแสนจะคลาสสิก มนต์เสน่ห์ที่ไม่เคยจางหายตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน

นอกจากจะเป็นเมืองตากอากาศชายทะเลแล้ว ชลบุรียังมีชื่อเสียงในเรื่องของกิน และของฝากมากมาย  ข้าวหลามหนองมน ที่น้อยคนนักจะไม่รู้จักถึงความหอมอร่อย ครกหินอ่างศิลา งานหัตกรรมฝีมือช่างทำหินอ่างศิลาที่มีชื่อเสียงด้านความคงทนมาช้านาน หรือเครื่องจักรสานของคนพนัสนิคมที่ขึ้นชื่อในเรื่องความปราณีตสวยงามที่สุด

สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวชลบุรีในทริปนี้ มีไฮไลท์ที่หลายคนยังไม่รู้จัก สีสันการท่องเที่ยวชุมชนคือ การที่เราได้ไปสัมผัสและเรียนรู้ถึงวิถีของแต่ละชุมชน ด้วยอัธยาศัยไมตรีและรอยยิ้มของผู้คนคือเสน่ห์มัดใจ ให้คนต่างถิ่นอย่างเราๆ ท่านๆ ต้องกลับมาเยือนครั้งแล้วครั้งเล่า


ชุมชนจักสานพนัสนิคม
อำเภอพนัสนิคมมีคำขวัญประจำเมืองพนัสนิคมว่า "พระพนัสบดีคู่บ้าน จักสานคู่เมือง ลือเลื่องบุญกลางบ้าน"  จุดหมายแรกของการเดินทางท่องเที่ยวชุมชนในเส้นทางนี้ก็คือ ชุมชนจักสานพนัสนิคม อยู่ห่างจากเส้นทางมอเตอร์เวย์ประมา 20 กม. ที่นี่เป็นแแหล่งรวมสุดยอดงานฝีมือด้านการจักสานไม้ไผ่ ที่อยากแนะนำให้แวะชมก็คือ "กลุ่มจักสารชุมชนย่อยที่ 1"  ที่นี่มีการสาธิตการทำเครื่องมือ เครื่องใช้ด้วยการจักสานไม้ไผ่จากภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้จากรุ่นสู่รุ่น

ภายในบริเวณกลุ่มจักสานยังเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องจักสาน ละลานตาไปด้วยเครื่องจักสานที่ใหญ่ที่สุดในโลก เช่น ก่องข้าวน้อย ภาชนะใส่ข้าวเหนียว ซึ่งก่องข้าวน้อยที่นี่ ไม่ได้น้อยแค่ชื่อ แต่เป็นก่องข้าวน้อยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ นอกจากนั้นชุมชนที่นี่ยังเป็นที่เก็บรวบรวมเครื่องจักสานโบราณหลากหลายชนิดให้ศึกษาเรียนรู้



จากชุมชนจักสานสู่เกาะสีชัง
ที่ท่าเทียบเรือเกาะลอย จุดหมายปลายทางของพสกเราคือ เกาะสีชัง จากท่าเทียบเรือเกาะลอยถึงเกาะสีชัง ใช้เวลาเดินทางราวๆ  45 นาทีก็จะถึงท่าเรือเทววงศ์ ณ ดินแดนแห่งความสงบ  ณ เกาะสีชัง แม้บรรยายกาศจะดูคึกคักมากกว่าวันวานในอดีต ณ วันนี้ร้านรวงต่างๆ รวมถึงร้านสะดวกซื้อต่างก็ผุดขึ้นมาราวดอกเห็ด แต่กลิ่นอายของเมืองตากอากาศที่แสนจะโรแมนติกยังคงไม่จางหายไปไหน ด้วยเกาะสีชังที่มีขนาดเล็ก มีพื้นที่ทั่วเกาะเพียง 18 ตารางกิโลเมตร ถนนหนทางบนเกาะเป็นถนนที่ไม่กว้างมากนัก ดังนั้นพาหนะยอดนิยมจึงเป็นรถมอไซค์ซะส่วนใหญ่ รวมถึงรถมอไซค์พ่วงขนาดเล็กที่เรียกกันว่า "รถสกายแลป" 

รถสกายแลป เกาะสีชัง
รถสกายแลป ทางภาคอีสาน
ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ประจำเกาะสีชังที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการไปตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ บนเกาะได้ในราคาย่อมเยา ซึ่งเจ้ารถสกายแลปที่ว่านี้ ไม่เหมือนรถสกายแลปที่อยู่ทางภาคอีสาน ลักษณะรถสกายแลปบนเกาะสีชังจะเน้นในเรื่องการนั่งของผู้โดยสารมากกว่า ซึ่งดูเผินๆ ก็คล้ายๆ รถตุ๊กตุ๊กที่วิ่งอยู่ในกทม. แต่ถ้าพูดถึงในเรื่องของการบรรทุกสัมภาระไปพร้อมๆ กับนั่งไปด้วยละก็ ผมว่ารถสกายแลปทางอีสานดูจะได้เปรียบกว่านะ
อ่ะ..มาว่ากันต่อ สถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะสีชังที่สำคัญจุดแรก คือ พระจุฑาธุชราชฐาน สร้างขึ้นในสมัย ร.5 เพื่อใช้เป็นที่ประทับในฤดูร้อน บรรยากาศเต็มไปด้วยดอกลีลาวดีที่แข่งกันอวกโฉมความสวยงามพร้อมกับส่งกลิ่นหอมอบอวลชวนให้หลงไหลไปทั่วบริเวณ  เรือนไม้สีเขียวหลังงาม สันนิฐานว่า น่าจะเป็นเรือนพักตากอากาศของชาวต่างประเทศมาก่อน  ต่อมาได้มีการปรับปรุงเป็นที่ประทับแรมของพระราชวงศ์ในคราวเสด็จมากรักษาพระองค์ ปัจจุบันใช้เป็นสำนักงาน ส่วนบริการนักท่องเที่ยว และจัดแสดงนิทรรศการที่น่าสนใจบนเกาะสีชัง


สะพานอัษฎางค์

บริเวณวณริมฝั่งทะเลมีสะพานไม้สีขาวทอดยาวออกไปในทะเล รู้จักกันในชื่อสะพานอัษฎางค์ เป็นสถานที่ถ่ายรูปอีกจุดหนึ่งที่สวยที่สุด ในเขตพระราชฐานเลยทีเดียว  หลังดื่มด่ำไปกับความงามของพระราชฐานแล้ว ช่วงเย็นในบรรยากาศแดดร่มลมตก สามารถแวะชมวิวทะเลสวยๆ ได้ที่ หาดถ้ำเขาพัง  เป็นอ่าวรูปโค้งวงพระจันทร์ที่มีหาดทรายขาวสะอาดตา เดินเล่นสบายๆ ชิวชิว ริมหาดสวยใกล้ๆ ก็ยังมีร้านอาหาร ร้านขายของฝากที่ระลึกให้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย

อีกจุดหนึ่งก็คือ ช่องอัษฎางค์ หรือช่องเขาชาด เป็นจุดชมวิวทะเลได้กว้างไกลสุดสายตา และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงามสุดๆ มีสะพานทอดยาวตามแนวผาชันริมทะเล


สำหรับค่ำนี้ที่พักที่ดีที่สุดของเราก็คือโฮมสเตย์บนเกาะสีชัง เป็นโฮมสเตย์เล็กๆ ที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจของคนในชุมชนเอง เปิดให้บริการนักท่องเที่ยวจำนวน 4 หลัง สามารถรองรับคนเข้าพักได้ประมาณ 40 คน (แนะนำควรจองล่วงหน้า) แต่ละหลังมีบรรยากาศที่แตกต่างกัน สามารถเลือกพักได้ตามใจชอบ ขอแนะนำสำหรับการพักค้างบนเกาะสีชัง เนื่องจากบนเกาะไม่มีแหล่งน้ำดิบสำหรับการอุปโภค บริโภค ทำให้ต้องซ์้อน้ำจากบนฝั่งมาใช้ ดังนั้นก็ต้องช่วยๆ กันประหยัดน้ำกันนะครับ


อัตราที่พัก 250 บาท : คน : คืน (ไม่รวมค่าอาการ ค่ารถสกายแลป) ถ้ามา 5 คนขึ้นไปคิด 200 บาทต่อคนต่อคืน  หรือถ้าจะรวมค่าอาหารด้วยก็ 800 บาทต่อคนต่อคืน  ส่วนค่ารถนำเที่ยวสกายแลปในหนึ่งวัน เขาคิดเหมาวันละ 250 บาทครับ

อาหารการกิน เน้นเลยว่าจะต้องเป็นอาหารทะเลสดๆ ตามฤดูกาล เช่น หมึกกระตอยต้มน้ำดำ , หอยฟันกระต่ายทอดกระเทียม , หอยกระปุกผัดน้ำพริกเผา เป็นต้น

การเดินทาง  จากกทม. ใช้เส้นทางบูรพาวิถี เข้าถนนบายพาสเลี่ยงเมืองชลบุรี วิ่งตรงไปทางพัทยาจนเจอป้ายศรีราชา ผ่านโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชาจะเจอแยกไฟแดง ให้เลี้ยวซ้ายวิ่งตรงไปประมาณ 2 กม. ถึงเกาะลอย  จากศรีราชาไปเกาะสีชัง มีเรือโดยสารออกจากท่าเรือเกาะลอยทุกวัน ตั้งแต่ 6 โมงเช้าไปจนถึง 2 ทุ่ม  เรือออกทุกชั่วโมง  ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  บริษัท เดอะดีพาร์ทเจอร์ จำกัด หรือที่เว็บไซต์ www.flydrivethai.com


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านบล็อกขับรถเที่ยวไทย ไปทุกภาคครับ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก internet